วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สรุปบทที่ 4 การสื่อสารข้อมูล และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

บทที่ 4 
การสื่อสารข้อมูล และเครือข่ายคอมพิวเตอร์




ข้อมูล
คือ สิ่งที่มีความหมายในตัว โดยข้อมูลทั่วไปที่ใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ จะเป็นข้อมูลชนิด ตัวเลข ตัวอักษร ภาพนิ่ง รวมถึงภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ในการส่งข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด ผ่านสายสื่อสารหรือคลื่นวิทยุ ข้อมูลที่ต้องการส่งจะต้อง ได้รับการแปลงให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณที่เหมาะสมกับระบบการสื่อสารนั้นก่อน

สัญญาณ Signal
อุปกรณ์ที่ท าการสื่อสารข้อมูลกันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ดังนั้นลักษณะของข้อมูลต้องเป็นสัญญาณ ทางไฟฟ้าด้วย โดยสัญญาณทางไฟฟ้า ประกอบไปด้วย
     1.สัญญาณอนาลอก
           สัญญาณที่มีความต่อเนื่องกันตลอดเวลา โดยสัญญาณนี้จะอยู่ในรูปของความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ เปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง การก าหนดลักษณะของสัญญาณจะก าหนดเป็นขนาดหรือแอมปลิจูด (Amplitude) กับ ค่าความถี่ (Frequency)
    2.สัญญาณดิจิตอล
          สัญญาณที่มีค่าไม่ต่อเนื่อง ลักษณะของสัญญาณนี้จะมีอยู่สองระดับถูกแทนเป็นระดับสัญญาณ สูง หรือลอจิกสูง กับระดับสัญญาณต่ า หรือลอจิกต่ า






  
รหัสแทนข้อมูล data code
          การเก็บข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์นั้นจะถูกเก็บอยู่ในรูปของเลขฐานสอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข หรือตัวอักษร ข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บอยู่ในรูปรหัสเลขฐานสองที่แทนด้วยค่า “0” และค่า “1” ทั้งสิ้น โดยระบบจะน าค่าลอจิก “0” และ “1” เหล่านี้มาจัดกลุ่มกัน เรียกว่า รหัสแทนข้อมูล 

รหัสแอสกี (ASCII Code)
 รหัสแทนด้วยตัวอักษรแบบแอสกี (American Standard Code for Information Interchange; ASCII)
  เป็นรหัสแทนข้อมูลที่มีการใช้แพร่หลายกันมากที่สุด เช่น ในไมโครคอมพิวเตอร์IBM และ IBM คอมแพทิเบิล รหัสแอสกีเป็นมาตรฐานที่ก าหนดขึ้ นโดยสถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกา (American National Standards Institute; ANSI) 
 ประกอบด้วยรหัส 7 บิตและเพิ่มอีก 1 บิต เรียกว่า แพริตี้บิต รวมเท่ากับ 8 บิต ต่อหนึ่งอักขระ ซึ่งแต่ละบิตจะแทนด้วยเลข "0" และ "1" 

รหัสเอ็บซีดิก (EBCIDIC) 
 (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code; EBCDIC) เป็น รหัสแทนข้อมูลที่ได้รับการพัฒนาขึ้ นมาใช้งานส าหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งพัฒนาขึ้ น โดยบริษัทไอบีเอ็มโดยเฉพาะ
  รหัสเอ็บซีดิกนี้ มีขนาด 8 บิต เพื่อแทนสัญลักษณ์หนึ่งตัว ดังนั้นจึงสามารถใช้แทนอักขระได้ 28 หรือ 256 ตัว หรือสองเท่าของรหัสแอสกี 
 รหัสเอ็บซีดิกถือว่าเป็นรหัสมาตรฐานในการใช้แทนอักขระของเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ ในปัจจุบัน 

รหัสยูนิโค้ด (UNICODE)
 ยูนิโค้ด (UNICODE) ได้รับการพัฒนาขึ้ นมาเมื่อ พ.ศ. 2536 เพื่อแก้ปัญหาที่เกิด ข ้ ึ นกบ ั รหส ั แบบแรก 
 โดยการก าหนดให้หนึ่งตัวอักษรมีขนาด 16 บิตแทน 8 บิตตามแบบเก่าจึงสามารถใช้ แทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 แบบ
  ตัวอักษร 128 ตัวแรกจะเหมือนกันกับตัวอักษรในรหัสแอสกีรุ่นเก่า นอกจากน ้ ี ม ี ตัวอักษรจีน 2,000 ตัว ตัวอักษรญี่ปุ่ น เกาหลี รัสเซีย ฮิบรูกรีก สันสกฤต และอื่น ๆ รวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สัญลักษณ์พิเศษอีกมากมาย

การส่งข้อมูล(Data transmission)
กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิด ความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน 

พื้นฐานของการส่งข้อมูล
 ในทางคอมพิวเตอร์การส่งข้อมูล หมายถึงการส่งชุดข้อมูลเป็นแบบบิต (bit) ที่มีแต่ตัวเลข 0 กับ 1 หรือเป็นไบต์ (byte) ที่เป็นตัวอักษรโดย 8 บิต มีค่าเป็น 1 ไบต์ จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งซึ่ง การส่งข้อมูลในทางคอมพิวเตอร์เราสามารถใช้ตัวกลางในการส่งข้อมูลได้หลากหลายชนิด เทคโนโลย

วิธีการส่งข้อมูล
วิธีการส่งข้อมูล จะแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณ หรือรหัสเสียก่อนแล้วจึงส่งไปยังผู้รับ และเมื่อ ถึงปลายทางหรือผู้รับก็จะต้องมีการแปลงสัญญาณนั้นกลับมาให้อยู่ใน รูปที่มนุษย์สามารถที่จะ เข้าใจได้ ในระหว่างการส่งอาจจะมีอุปสรรค์ที่เกิดขึ้ นก็คือสิ่งรบกวน(Noise)จากภายนอก ท าให้ ข้อมูลบางส่วนเสียหาย หรือผิดเพี้ ยนไปได้ซึ่งระยะทางก็มีส่วนเกี่ยวข้อง

ลักษณะการส่งข้อมูล
สามารถแบ่งการส่งข้อมูลออกตามลักษณะการส่งข้อมูลได้ 2 ชนิด 
1. การส่งข้อมูลแบบอนุกรม (serial transmission) 
       จะใช้วิธีการส่งทีละ 1 บิตในหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา ท าให้ดูเหมือนว่าบิตต่าง ๆ เรียง ต่อเนื่องกันไป จากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่ง
2. การส่งแบบขนาน (parallel transmission)
        การส่งข้อมูลพร้อมกันทีละหลาย ๆ บิตในหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา โดยการส่งจะรวม บิต 0 และ 1 หลาย ๆ บิตเข้าเป็นกลุ่ม 

วิธีการส่งข้อมูล
สามารถแบ่งการส่งข้อมูลออกเป็น 2 วิธี ดังนี้ 
1. การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัส (asynchronous transmission)
        การสื่อสารแบบอซิงโครนัสนั ้นจะใช้สายสัญญาณเพียงตัวเดียวแต่จะใช้รูปแบบการส่งข้อมูล หรือ Bit Pattern เป็นตัวกําหนดว่าส่วนไหนเป็นตัวเริ่มต้นข้อมูล ส่วนไหนเป็นตัวข้อมูล ส่วนไหนจะ เป็นตัวตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และส่วนไหนเป็นส่วนปิดท้ายของข้อมูล โดยต้องกําหนดให้ สญั ญาณนาฬ ิ กาเทา่ กนั ทงั้ ภาครับและภาคสง่ ซง ึ่ จะม ี อป ุ กรณ ์ พ ิ เศษ คอยควบคม ุ การรับและการส่ง ข้อมูล
 2. การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส (synchronous transmission)
          การส ื่อสารแบบซ ิ งโครนสัน ี จ ้ ะใช ้สญั ญาณนาฬ ิ กาควบคม ุ การรับสง่ สญั ญาณ เช่น สายคีย์บอร์ด คอมพ ิ วเตอร ์โดยจะม ี สายสญั ญาณเส้ นหนง ึ่ เป็ นสายสญั ญาณนาฬ ิ กา สว่ นอ ี กเส้ นหนง ึ่ เป็นสายของ ข้อมูล( และมักจะมีสาย กราวน์ด้วย) สําหรับการสื่อสารแบบซิงโครนัสนี ้เหมาะสําหรับการทํางานใน ระยะใกล้ข้อมูลที่จะส่งมีไม่มากนัก เพราะถ้าระยะทางไกลขึ ้นจะทําให ้สญั ญาณนาฬ ิ กามีปัญหา อีก ทั ้ง ต้องมีสายหลายเส้นทําให้สิ ้นเปลืองมาก
   
สรุป
การส่งข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่อง หนึ่ง ข้อมูลที่ส่งจะอยู่ในรูปของสัญญาณทางไฟฟ้า ไม่ได้อยู่ในรูป ของตัวอักษรที่อ่านได้ โดยการส่งข้อมูลมีทั ้งการส่งข้อมูลแบบขนาน และการส่งข้อมูลแบบอนุกรม

เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/kruwerapangree/thekhnoloyi-sarsnthes-m-2-ng22202/--hnwy-thi-2-kar-suxsar-khxmul-laea-kherux-khay-khxmphiwtexr


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบบฝึกหัด บทที่10 เทคโนโลยีกับการจัดการความรู้

แบบฝึกหัด บทที่10   เทคโนโลยีกับการจัดการความรู้ 1. สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับเนื้อหา 1 หน้ากระดาษรายงานเพื่อเตรียมตัวสอบ         - ก...